ไขมันพอกตับเกิดจากอะไรมีอาการอย่างไรบ้าง ป้องกันอย่างไร

“ไขมันพอกตับ” เป็นหนึ่งในโรคร้ายที่ไม่ควรละเลย เนื่องจากส่งผลให้ตับทำงานไม่ปกติ แม้จะไม่มีอาการที่แสดงให้เห็นชัดเจน แต่ก็ถือเป็นภัยเงียบที่หลายคนไม่รู้ตัว และอาจพัฒนาเป็นมะเร็งตับได้ ในบทความนี้จึงจะมาพูดถึงโรคไขมันพอกตับ ว่าเกิดจากอะไร อันตรายอย่างไร และสามารถป้องกันได้อย่างไรบ้าง ไปดูพร้อมกันในบทความได้เลย

ไขมันพอกตับคืออะไร

ไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease) คือภาวะที่ไขมันเข้าไปสะสมในเนื้อตับมากกว่า 5-10% โดยไขมันที่เข้าไปแทรกตับจะเป็นชนิดไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งจะส่งผลให้ตับทำงานผิดปกติ สามารถเกิดได้กับทุกคน โดยมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ไขมันพอกตับมักจะไม่แสดงอาการ หรือมีอาการที่กำกวม เช่น อ่อนเพลีย, คลื่นไส้, ปวดใต้ชายโครงขวา ส่วนใหญ่จะพบเมื่อไปตรวจสุขภาพประจำปี หรือเข้ารับการตรวจทางการแพทย์

ไขมันพอกตับจะมี 4 ระยะ ได้แก่ 

• ระยะที่ 1: เริ่มมีไขมันสะสมในตับ แต่จะยังไม่แสดงอาการใด ๆ
• ระยะที่ 2: เริ่มมีการอักเสบ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาเกิน 6 เดือน จะส่งผลให้มีภาวะตับอักเสบเรื้อรังได้
• ระยะที่ 3: ตับอักเสบรุนแรง จนมีพังผืดสะสมในตับ และส่งผลให้เซลล์ตับค่อย ๆ ถูกทำลาย
• ระยะที่ 4: เซลล์ตับถูกทำลาย จนตับไม่สามารถทำงานได้ปกติ อาจเกิดภาวะตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้ 

ไขมันพอกตับ เป็นหนึ่งในโรคที่มีความอันตรายและไม่ควรปล่อยปละละเลย ในกรณีที่ปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จนถึงแก่ชีวิตได้

ไขมันพอกตับเกิดจากอะไร

สาเหตุของไขมันพอกตับ สามารถเกิดขึ้นได้จากหลากหลายปัจจัย ดังนี้

• การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงของโรคจะขึ้นอยู่กับปริมาณที่ดื่ม, ประเภทที่ดื่ม, ระยะเวลาที่ดื่ม กล่าวคือ ยิ่งดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ก็จะยิ่งทำให้ภาวะไขมันพอกตับรุนแรงขึ้น
• รับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น ไขมัน หรือแป้ง
• รับประทานอาหารที่มีรสหวานเกินไป
• กลุ่มโรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน, โรคไขมันในเลือดสูง, โรคความดันโลหิตสูง, โรคอ้วน
• การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาเคมีบำบัด, ยาปฏิชีวนะ, ยาสเตียรอยด์
• การติดเชื้อ HIV หรือเชื้อไวรัสตับอักเสบ B และ C

อันตรายของไขมันพอกตับ

แม้ว่าไขมันพอกตับจะเป็นโรคที่ไม่แสดงอาการ แต่ก็มีความอันตราย และหากทิ้งไว้ในระยะยาวอาจถึงแก่ชีวิตได้ เนื่องจากตับเป็นอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกายที่จะทำหน้าที่ขจัดสารพิษออกจากเลือด รวมถึงปรับสมดุลในร่างกาย ในกรณีที่มีไขมันพอกตับจะส่งผลให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ และเกิดภาวะตับแข็ง หรือมะเร็งตับตามมา โรคไขมันพอกตับ มีอัตราการเสียชีวิตมากถึง 16,000 คนต่อปี จึงเป็นโรคที่มีความอันตราย และไม่ควรละเลย

วิธีป้องกันภาวะไขมันพอกตับ

สำหรับแนวทางในการป้องกันภาวะไขมันพอกตับ สามารถทำได้ ดังนี้

• หลีกเลี่ยงหรืองดการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดไขมันพอกตับ
• แนะนำให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
• เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ ไขมันต่ำ กากใยสูง และทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับโภชนาการอย่างครบถ้วน
• ในกรณีที่มีโรคเบาหวานหรือไขมันในเลือดสูง ควรทานยาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อควบคุมโรค รวมถึงควบคุมอาหารและออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย
• หลีกเลี่ยงการทานยา หรืออาหารเสริมนอกเหนือจากที่แพทย์สั่ง
• ตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากภาวะไขมันพอกตับ เป็นภาวะที่มักจะไม่แสดงอาการ โดยส่วนใหญ่จะพบเมื่อไปตรวจสุขภาพประจำปี

การตรวจตับเป็นประจำลดความเสี่ยงได้

ไขมันพอกตับ เป็นโรคที่ไม่แสดงอาการ แต่จะสะสมไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว ดังนั้น การตรวจตับเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคได้ แนะนำให้เข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ หรือสำหรับใครที่ไม่ต้องการรอตรวจสุขภาพประจำปี โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช มี Package ตรวจสุขภาพ Anti-Aging 15 รายการ ซึ่งรวมไปถึงการตรวจการทำงานของตับ ตรวจร่างกายและให้คำปรึกษาโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ราคา 4,300 บาท สามารถใช้บริการได้ที่แผนก Sukho โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช

Detox ตับเป็นประจำก็ช่วยได้

ในปัจจุบัน มีการดูแลตับหลากหลายวิธี หนึ่งในนั้นคือการ Detox ตับ ที่จะช่วยบำรุงตับได้เป็นอย่างดี ทั้งยังช่วยลดการสะสมสารพิษในตับ ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช มี Vitamin Liver Detox ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบของตับ และกำจัดสารเสียจากตับ อีกทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ซึ่งข้อดีของการดริปวิตามินผ่านทางเส้นเลือดดำ จะทำให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีกว่าการทานอาหารเสริม สำหรับใครที่สนใจ Detox ตับ ในเบื้องต้นสามารถเข้าปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย