testosterone หรือฮอร์โมนเพศชายมีผลอย่างไรบ้างต่อสมรรถภาพทางเพศ

เทสโทสเตอโรน (Testosterone) หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ ฮอร์โมนเพศชาย นั้นมีบทบาทสำคัญต่อร่างกายของผู้ชายมากกว่าที่คุณคิด ไม่ใช่แค่เรื่องของกล้ามเนื้อและความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับ สมรรถภาพทางเพศ อีกด้วย หลายคนอาจสงสัยว่าฮอร์โมนตัวนี้มีผลต่อชีวิตประจำวันอย่างไร และการตรวจวัดระดับฮอร์โมนจะช่วยให้เข้าใจตัวเองได้มากขึ้นแค่ไหน บทความนี้จะพาคุณไปไขข้อข้องใจเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเทสโทสเตอโรนและสมรรถภาพทางเพศ เพื่อให้คุณตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพได้อย่างรอบคอบมากขึ้น
testosterone คืออะไร มาจากไหน
เทสโทสเตอโรน (Testosterone) เป็นฮอร์โมนเพศชายหลักที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาและการทำงานของร่างกายชายหลายอย่าง เช่น การเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ กระดูก ความต้องการทางเพศ และการผลิตสเปิร์ม
เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ถูกผลิตโดยอัณฑะ อัณฑะเป็นอวัยวะหลักที่ผลิตเทสโทสเตอโรน โดยเซลล์ที่เรียกว่า เซลล์เลย์ดิก (Leydig cells) จะทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนชนิดนี้ ซึ่งการผลิตควบคุมโดยสมอง สมองจะส่งสัญญาณไปยังอัณฑะเพื่อควบคุมการผลิตเทสโทสเตอโรน โดยผ่านต่อมใต้สมองและฮอร์โมนอื่นๆ

testosterone ทำหน้าที่อะไรบ้าง
- พัฒนาและรักษาลักษณะทางเพศชาย: เทสโทสเตอโรนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาลักษณะทางเพศของผู้ชายตั้งแต่ในวัยรุ่น เช่น การเจริญเติบโตของอวัยวะเพศ การเปลี่ยนแปลงเสียง และการเกิดขน รวมถึงช่วยรักษาลักษณะเหล่านี้ให้คงอยู่ตลอดชีวิต
- สร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง: ฮอร์โมนนี้ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งมีหน้าที่ในการนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย
- เพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงของกระดูก: เทสโทสเตอโรนช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงของกระดูก ทำให้ร่างกายแข็งแรงและมีพลังงาน
- ควบคุมอารมณ์และความต้องการทางเพศ: ฮอร์โมนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์ ความต้องการทางเพศ และความรู้สึกเป็นชาย
- เผาผลาญไขมัน: เทสโทสเตอโรนช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ทำให้ร่างกายมีสัดส่วนที่ดี
testosterone ค่าปกติคือเท่าไหร่
ระดับ testosterone ที่เหมาะสมในร่างกายของผู้ชายจะแตกต่างกันไปตามช่วงอายุ โดยค่ามาตรฐานสำหรับผู้ชายมักจะอยู่ในช่วง
- ผู้ชายอายุ 19-39 ปี: ระดับ testosterone ปกติอยู่ที่ประมาณ 300 – 1,000 ng/dL
- ผู้ชายอายุ 40 ปีขึ้นไป: ระดับ testosterone อาจเริ่มลดลงตามธรรมชาติ โดยค่าปกติยังคงอยู่ในช่วง 300 – 800 ng/dL
หากระดับ testosterone ต่ำกว่า 300 ng/dL อาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายมีภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ (hypogonadism) ซึ่งเป็นภาวะที่ต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษา

ถ้าฮอร์โมนเพศชายลดต่ำลงมีผลอย่างไร
ฮอร์โมนเพศชาย หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “เทสโทสเตอโรน” มีบทบาทสำคัญในหลายๆ ด้านของร่างกายผู้ชาย ตั้งแต่การเจริญเติบโตทางร่างกาย ระบบสืบพันธุ์ ไปจนถึงอารมณ์และการทำงานของสมอง เมื่อฮอร์โมนเพศชายลดต่ำลงจะส่งผลกระทบหลายประการ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในระยะยาวได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
- ผลกระทบต่อพลังงานและความแข็งแรง
ฮอร์โมนเพศชายมีบทบาทในการรักษาระดับพลังงานและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หากระดับฮอร์โมนลดต่ำลง คุณอาจเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย หรือมีแรงน้อยลงในการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังอาจพบว่ากล้ามเนื้อมีการลดลงได้ง่ายและเกิดไขมันสะสมในร่างกายมากขึ้น - ผลกระทบต่ออารมณ์และจิตใจ
ฮอร์โมนเพศชายยังมีบทบาทในการควบคุมอารมณ์ การลดลงของฮอร์โมนเพศชายอาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้า ความวิตกกังวล หรือความหงุดหงิดได้ง่าย ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการโฟกัสและทำงานประจำวันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ - ผลกระทบต่อสมรรถภาพทางเพศ
หนึ่งในผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดคือการลดลงของความต้องการทางเพศ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction) หรือการไม่สามารถรักษาการแข็งตัวของอวัยวะเพศได้เป็นเวลานาน - ผลกระทบต่อกระดูก
ฮอร์โมนเพศชายช่วยในการรักษาความแข็งแรงของกระดูก การลดลงของฮอร์โมนอาจทำให้มวลกระดูกลดลง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุนหรือกระดูกหักได้ง่าย - ผลกระทบต่อการนอนหลับ
ฮอร์โมนเพศชายที่ลดลงอาจทำให้เกิดปัญหาการนอนหลับ หรือทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้าแม้จะนอนเพียงพอ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในด้านต่างๆ - ผลกระทบต่อการสะสมไขมัน
ฮอร์โมนเพศชายมีบทบาทในการควบคุมระดับไขมันในร่างกาย เมื่อฮอร์โมนลดต่ำลง ร่างกายอาจสะสมไขมันมากขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณหน้าท้อง นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด - ความเปลี่ยนแปลงของเส้นผมและผิวหนัง
ผิวหนังและเส้นผมอาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อฮอร์โมนเพศชายลดลง ผมอาจหลุดร่วงหรือบางลง รวมถึงผิวอาจขาดความยืดหยุ่นและดูแห้งกร้านขึ้น

จะรู้ได้อย่างไรว่าฮอร์โมนเพศชายต่ำกว่าค่าปกติ
เมื่ออายุมากขึ้น ระดับฮอร์โมนเพศชายก็จะค่อยๆ ลดลงตามธรรมชาติ แต่หากลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ก็อาจส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ เช่น
- ความต้องการทางเพศลดลง อาจรู้สึกเบื่อหน่าย หรือขาดความสนใจในเรื่องเพศ
- สมรรถภาพทางเพศลดลงอวัยวะเพศไม่แข็งตัว หรือแข็งตัวได้ไม่นาน
- อ่อนล้า รู้สึกไม่มีแรง ไม่มีสมาธิในการทำงาน
- กล้ามเนื้อลดลง ร่างกายอ่อนแอ เหนื่อยง่าย
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า
- กระดูกพรุน เสี่ยงต่อการหักง่าย
- ไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง
การตรวจวัดระดับฮอร์โมนเพศชายสามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่านการตรวจเลือด โดยแพทย์จะทำการเก็บตัวอย่างเลือดในช่วงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่ระดับฮอร์โมนเพศชายสูงสุด หากผลการตรวจพบว่าระดับเทสโทสเตอโรนของคุณต่ำกว่าปกติ แพทย์จะประเมินสาเหตุและแนะนำการรักษาอย่างเหมาะสม
testosterone ต่ำรักษาได้อย่างไร
การรักษา testosterone ต่ำสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการของผู้ป่วย วิธีการรักษาที่พบได้บ่อยมีดังนี้
- การบำบัดฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy – HRT)
- การให้ testosterone ทดแทนผ่านวิธีการต่าง ๆ เช่น ฉีดยา เจลทาผิวหนัง หรือแผ่นแปะ ถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ที่มีระดับ testosterone ต่ำ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ในการรักษา
- การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์
- การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการฝึกกล้ามเนื้อ เช่น weight training จะช่วยกระตุ้นการผลิต testosterone
- การรับประทานอาหารที่สมดุล เช่น การบริโภคโปรตีน วิตามินดี และแร่ธาตุที่จำเป็น
- การลดน้ำหนัก หากมีน้ำหนักเกินจะช่วยลดการสะสมของไขมันที่อาจส่งผลต่อระดับฮอร์โมน
- การนอนหลับเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายผลิต testosterone ได้มากขึ้น
- การใช้ยาหรือการปรึกษาแพทย์
- แพทย์อาจแนะนำยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางอย่างเพื่อช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมน เช่น Zinc, Vitamin D หรืออาหารเสริมอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มการใช้ยาใด ๆ
การรักษา testosterone ต่ำควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การใช้ฮอร์โมนทดแทนโดยไม่มีการประเมินที่เหมาะสมอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ มะเร็งต่อมลูกหมาก หรือปัญหาเกี่ยวกับระบบการไหลเวียนโลหิตได้