รากผมไม่แข็งแรง ฝ่อ เกิดจากอะไร รักษาได้ไหม

ปัญหารากผมไม่แข็งแรง ฝ่อ เป็นเรื่องกวนใจสำหรับใครหลายคน เนื่องจากทำให้ผมบางลงและร่วงง่ายขึ้น โดยในบทความนี้ได้รวบรวมข้อควรรู้เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยง อันเป็นสาเหตุที่ส่งผลให้รากผมฝ่อ รวมทั้งแนวทางการดูแลรักษาที่ถูกวิธี เพื่อป้องกันผลกระทบในระยะยาว
อาการรากผมไม่แข็งแรง ฝ่อ คืออะไร ?
อาการรากผมไม่แข็งแรง ฝ่อ คือ ภาวะที่รากผมเสื่อมสภาพ ขาดความแข็งแรง และมีขนาดเล็กลง ทำให้เส้นผมเปราะบาง สามารถหลุดร่วงง่ายกว่าปกติ ซึ่งอาการรากผมฝ่อที่เกิดขึ้นนี้อาจนำไปสู่ปัญหาผมบางหรือศีรษะล้านในอนาคตได้

ปัจจัยอะไรที่ส่งผลรากผมไม่แข็งแรงและฝ่อได้ ?
การที่รากผมไม่แข็งแรงและฝ่อ เกิดจากปัจจัยหลายสาเหตุ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาดังกล่าว ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยดังต่อไปนี้
- รากผมฝ่อจากฮอร์โมน
เกิดจากฮอร์โมน DHT ซึ่งพบได้มากในผู้ชาย โดยทำหน้าที่ควบคุมการเกิดของเส้นผม ขน หนวด เครา หรือสร้างลักษณะเด่นของเพศชาย หากฮอร์โมนดังกล่าวมีความแปรปรวนหรือผิดปกติ จะส่งผลให้รากผมไม่แข็งแรง ไม่สามารถลำเลียงสารอาหารไปหล่อเลี้ยงเส้นผมได้อย่างเต็มที่
- รากผมฝ่อจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ
เกิดจากภูมิคุ้มกันหรือเซลล์เม็ดเลือดขาวมีการต่อต้านเส้นผม ทำให้รากผมอักเสบ และเกิดภาวะผมร่วงเป็นหย่อมตามมา
- รากผมฝ่อจากวัยที่เพิ่มขึ้น
เกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้การทำงานของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเสื่อมสภาพลง รวมถึงเซลล์รากผม ทำให้รากผมไม่แข็งแรง และผมร่วงได้ง่ายขึ้น
- รากผมฝ่อจากความร้อนและสารเคมี
เกิดจากการใช้ความร้อนต่อเส้นผมเป็นเวลานาน เช่น การไดร์ เป่า หนีบ รวมถึงการทำเคมี ดัด ย้อมสีผม ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดภาวะปุ่มรากผมอักเสบ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธีจะส่งผลให้รากผมไม่แข็งแรง
- รากผมฝ่อจากความเครียด
เกิดจากความเครียดเรื้อรังที่กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดไปยังหนังศีรษะ อาจทำให้รากผมขาดสารอาหารและอ่อนแอได้
รากผมมีความสำคัญอย่างไร
รากผม (Hair Follicle) มีความสำคัญอย่างมากต่อเส้นผม เนื่องจากทำหน้าที่ยึดเส้นผมกับหนังศีรษะ อีกทั้งยังช่วยในการผลิตและเจริญเติบโตของเส้นผม รวมถึงกำหนดสีผม หากบำรุงรักษาสุขภาพของรากผมไม่ดี อาจทำให้เกิดการฝ่อ ไม่แข็งแรง แล้วเกิดปัญหาเส้นผมขาดหลุดร่วงในที่สุด

แนวทางการรักษาอาการรากผมไม่แข็งแรง ฝ่อ
แนวทางการรักษาอาการรากผมไม่แข็งแรงที่ถูกวิธี ช่วยให้รากผมกลับมาสุขภาพดี ลดปัญหาเส้นผมอ่อนแอ เปราะบาง หลุดร่วงง่าย ซึ่งแนวทางดังกล่าวมีดังต่อไปนี้
- สระผมให้ถูกวิธี
การสระผมที่ถูกวิธีจะช่วยลดแบคทีเรียบนหนังศีรษะ ป้องกันปัญหารากผมอักเสบ อีกทั้งยังช่วยกำจัดสิ่งสกปรก ลดกลิ่นเหม็นอับอีกด้วย
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมบางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อรากผมโดยที่เราไม่รู้ตัว เช่น การเกาหนังศีรษะอย่างรุนแรง มัดผมแน่นเกินไป หรือการถอน ดึงเส้นผม รวมถึงการทำความร้อน การทำเคมี พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้รากผมเกิดการอุดตัน เสี่ยงติดเชื้อ และเกิดปัญหารากผมอักเสบตามมา
- รับประทานอาหารและวิตามินบำรุงรากผม
การรับประทานอาหารและวิตามินถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยในการบำรุงรากผม ดังนั้นต้องเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ อุดมไปด้วยสารอาหารอย่าง โปรตีน วิตามินอี ซึ่งจะช่วยเสริมให้รากผมและเส้นผมแข็งแรงมากขึ้น
- ฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet Rich Plasma)
ฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet Rich Plasma) หรือ ฉีด PRP เป็นหัตถการที่ช่วยรักษารากผม โดยการนำเกล็ดเลือดและสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม ฉีดกระตุ้นเซลล์รากผมให้ทำงานอย่างเต็มที่มีประสิทธิภาพ
- การทำเลเซอร์กระตุ้นรากผม
การทำเลเซอร์เป็นหัตถการที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณหนังศีรษะ เนื่องจากเลเซอร์ช่วยผลิต ATP (Adenosine Triphosphate) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำคัญสำหรับการเจริญเติบโตของรากผม
เทคนิคการปลูกผม ช่วยเรื่องรากผมไม่แข็งแรงไหม
เทคนิคการปลูกผมไม่ได้ช่วยเรื่องรากผมโดยตรง แต่เป็นการย้ายรากผมที่แข็งแรงจากบริเวณอื่นมาปลูกตรงบริเวณที่มีปัญหาผมร่วง ผมบางแทน ช่วยให้ผมดกดำ ดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งในปัจจุบันมีการใช้เทคนิคปลูกผมถาวรอยู่ 2 เทคนิคหลักคือ FUE (Follicular Unit Extraction) และ FUT (Follicular Unit Transplantation) โดยทั้งสองเทคนิคแตกต่างกันดังต่อไปนี้
- FUE (Follicular Unit Extraction)
เป็นเทคนิคการปลูกผมที่ต้องดึงเส้นผมที่มีรากผมแข็งแรงออกมาทีละกอ แล้วนำไปปลูกบริเวณที่ต้องการ วิธีนี้ถือเป็นการปลูกผมถาวรที่ใช้กันทั่วโลก ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาความสวยงาม ไม่ทิ้งรอยแผลเป็น ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด
- FUT (Follicular Unit Transplantation)
เป็นเทคนิคการปลูกผมโดยตัดเพื่อย้ายเซลล์รากผม จากหนังศีรษะด้านหลัง ที่มีรากผมแข็งแรงมาปลูกตรงบริเวณที่มีปัญหาผมร่วงบาง หรือศีรษะล้าน เทคนิคนี้อาจทำให้เห็นรอยแผลจากการผ่าตัดเป็นเส้นด้านหลังศีรษะ
นอกจาก 2 เทคนิคหลักนี้ ยังมีเทคนิคอื่น ๆ ที่พัฒนาต่อยอดจากเทคนิค FUE เช่น เทคนิค DHI เทคนิค DMI และเทคนิค Long Hair FUE ซึ่งทั้งสองเทคนิคมีความแตกต่างกัน ดังต่อไปนี้
- DHI (Direct Hair Implantation)
เป็นเทคนิคการปลูกผมที่พัฒนาต่อยอดจาก FUE โดยใช้เครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า Implanter Pen ช่วยในการฝังเซลล์รากผมลงในหนังศีรษะ เทคนิคนี้ลดระยะเวลาในการปลูกผม ทำให้ได้ผลลัพธ์แนวไรผมแบบธรรมชาติ แน่น ถี่ ละเอียด ปลูกผมแบบครั้งเดียวจบ
- DMI (Direct Multi Implanter)
เป็นเทคนิคการปลูกผมที่พัฒนาต่อยอดจาก FUE ใช้เครื่องมือเฉพาะที่เรียกว่า Implanter Pen ในการปลูกผมลงบนหนังศีรษะโดยตรง เหมือนกับเทคนิค DHI แต่มีความแตกต่างกันในรายละเอียด โดยเทคนิค DMI จะมีความสามารถในการปลูกผมได้หลายกราฟต่อครั้ง
- Long Hair FUE
เป็นเทคนิคการปลูกผมที่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกโกนเส้นผมที่ด้านหลัง โดยใช้เครื่องมือหัวเจาะขนาดเล็กมาเจาะรูแล้วดึงเส้นผมพร้อมเซลล์รากผมออกมาปลูกขณะตอนที่ผมยาวได้เลย
ปรึกษารากผมไม่แข็งแรงฝ่อ กับทีมแพทย์โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ?
หากกำลังประสบปัญหาเรื่องเส้นผมขาดหลุดร่วง นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่ารากผมไม่แข็งแรง เพื่อป้องกันผลกระทบในระยะยาว สามารถปรึกษาปัญหารากผมไม่แข็งแรงกับทีมแพทย์โรงพยาบาลมาสเตอร์พีชได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งทางโรงพยาบาลพร้อมดูแลปัญหาผมของคุณอย่างเหมาะสมและตรงจุด ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ได้มาตรฐาน และการบริการที่มีคุณภาพ