ตาปรือ ตาง่วง ที่ไม่ได้เกิดจากการนอนน้อย แก้ได้อย่างไร

ตาปรือ

สำหรับใครที่เคยถูกทักว่าหน้าง่วง หรือดูไม่สดชื่น ทั้งที่วันนั้นนอนมาเต็มอิ่ม คุณอาจกำลังมีอาการ “ตาปรือ” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญทำให้หน้าตาของหลายคน ๆ ดูอ่อนเพลียและง่วงนอนตลอดเวลา ทั้งยังลืมตาได้ไม่เต็มที่ โดยอาการตาปรือ ตาง่วง ไม่ได้เกิดจากการนอนน้อยหรือนอนไม่พอแต่อย่างใด แต่มีผลมาจากอาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง นอกจากนี้อาการตาปรือ ตาง่วงไม่ได้ส่งผลเสียแค่ในเรื่องของบุคลิกภาพและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ในระยะยาวยังอาจส่งผลต่อการมองเห็นได้ด้วย

ในวันนี้ มาสเตอร์พีชจะมาอธิบายเกี่ยวกับตาปรือ ตาง่วง ว่าเกิดจากอะไร ส่งผลเสียอย่างไร และสามารถแก้ไขได้อย่างไรบ้าง มาดูไปพร้อมกันได้เลย

ตาปรือ ตาง่วงคืออะไร

ตาปรือ ตาง่วง (Ptosis) คืออาการที่หนังตาด้านบนตกลงมา โดยอาจจะตกเล็กน้อยหรือตกมากจนปิดตาเลยก็ได้ อาจพบได้ทั้งสองข้าง หรืออาจเป็นข้างใดข้างนึง และสามารถพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ผู้ที่มีอาการตาปรือ จะดูเหมือนคนง่วงนอนตลอดเวลา ดวงตาดูเล็ก ไม่สดใส ทำให้ขาดความมั่นใจจนเสียบุคลิกภาพ

โดยตาปรือ ตาง่วง สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้

ปรึกษาหมอฟรี
  • ตาปกติ จะต้องเห็นตาดำประมาณ 90-95% วงกลมตาดำ
  • ตาปรือเล็กน้อย จะดูไม่ออกว่าตาปรือ เพราะยังเห็นตาดำ 70-80% ของวงกลมตาดำ
  • ตาปรือมาก สำหรับผู้ที่ตาปรือมาก จะเห็นตาดำน้อยกว่า 70% ซึ่งทำให้ดูง่วงหรือเหนื่อยตลอดเวลา

ตาปรือ ตาง่วง หากเกิดในผู้ใหญ่ จะไม่ทำให้สูญเสียการมองเห็นแบบถาวร เพียงแต่หนังตาที่ตกลงมาจะบดบังทัศนวิสัย ทำให้การมองเห็นแย่ลง อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เกิดกับเด็ก จะพบได้จากการความผิดปกติในการสร้างชั้นหนังตาตั้งแต่เกิด ซึ่งเป็นผลมาจากกล้ามเนื้อที่ยกเปลือกตา ลักษณะของเด็กที่มีอาการดังกล่าวจะสามารถสังเกตเห็นได้ชัด เนื่องจากเด็กจะแสดงพฤติกรรมออกมา เช่น เอียงคอ คอคาง ยักคิ้วขึ้น เพื่อที่จะมองเห็นได้ชัดขึ้น ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้อาจส่งผลต่อศีรษะและคอของเด็ก อีกทั้งหากปล่อยไว้ในระยะยาวยังอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ อาการตาปรือที่เกิดกับเด็กจึงควรปรึกษาแพทย์และรับการรักษา

ตาปรือเกิดจากอะไร

ตาปรือ ตาง่วงเกิดจากอะไร

ตาปรือ ตาง่วง สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่กำเนิด อุบัติเหตุ หรือแม้แต่โรค ซึ่งมีดังต่อไปนี้

  • พันธุกรรมตั้งแต่กำเนิด

ตาปรือ ตาง่วง อาจเกิดขึ้นได้จากพันธุกรรมตั้งแต่กำเนิด พบได้ตั้งแต่เด็ก ซึ่งทำให้เด็กลืมตาได้ไม่เต็มที่ ถ้าหากว่าบุคคลในครอบครัวมีปัญหานี้ ก็เป็นไปได้ว่ารุ่นลูกอาจมีอาการตาปรือ ตาง่วงได้ ซึ่งใครที่มีอาการตาปรือตั้งแต่กำเนิด ก็ควรจะเข้าปรึกษาแพทย์และรับการรักษา เนื่องจากตาปรือ ตาง่วงในเด็ก อาจพัฒนาเป็นตาขี้เกียจได้ และเพราะใช้สายตาได้ไม่เต็มที่ตั้งแต่เด็ก จึงอาจส่งผลต่อสมอง รวมถึงการสูญเสียการมองเห็นแบบถาวรได้

  • พฤติกรรม

พฤติกรรมบางอย่างของคุณ ก็อาจส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณดวงตาเกิดอาการตาปรือได้ อาทิเช่น มีการระคายเคืองดวงตา จนทำให้ขยี้ตาบ่อย ๆ ใช้สายตาหนัก จ้องอะไรนาน ๆ หรือมีการใส่คอนแทคเลนส์บ่อย ปัจจัยเหล่านี้ก็ล้วนทำให้เกิดอาการตาปรือ ตาง่วงได้

  • อายุ

อายุที่มากขึ้น อาจส่งผลให้เกิดอาการตาปรือ ตาง่วงได้ เนื่องจากกล้ามเนื้อที่ยกเปลือกตาจะเริ่มหย่อนคล้อย อ่อนแอลง ส่งผลให้ใบหน้าขาดความสดใส ดูง่วงนอน และดูแก่กว่าวัยได้

  • อุบัติเหตุ

อุบัติเหตุบางอย่าง อาจส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทบริเวณดวงตา หรือกล้ามเนื้อบริเวณเปลือกตา ซึ่งจะทำให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อทำงานแตกต่างไปจากเดิม จนเกิดอาการตาปรือ ตาง่วงได้

  • ผลข้างเคียงจากการผ่าตัด

สำหรับใครที่เคยทำหัตถการบริเวณดวงตา เช่น การทำตาสองชั้น อาจเพิ่มโอกาสในการเกิดอาการตาปรือ ตาง่วงได้ เนื่องจากบริเวณรอบดวงตามีกล้ามเนื้ออยู่ เมื่อเกิดการอักเสบจากการผ่าตัด อาจส่งผลให้เกิดตาปรือตามมา ซึ่งสำหรับใครที่มีการทำหัตถการเกี่ยวกับดวงตา และเริ่มรู้ตัวว่ามีอาการตาปรือ ตาง่วง ก็ควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษา และหาแนวทางแก้ไขต่อไป

  • โรคภัยไข้เจ็บ

โรคบางชนิด อาจส่งผลให้เกิดอาการตาปรือ ตาง่วงได้ เช่น โรคกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ซึ่งจะทำให้ระบบการทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อบกพร่อง จนเกิดอาการตาปรือได้ หรือสำหรับบางกรณี เนื้องอกบริเวณดวงตาก็อาจทำให้เกิดอาการตาปรือได้เช่นเดียวกัน

ผลเสียของการมีตาปรือ ตาง่วง

  • ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น

ตาปรือ ตาง่วง ส่งผลให้การมองเห็นของผู้ที่มีอาการดังกล่าวแย่ลง การมองเห็นอาจแคบลง จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน นอกจากนี้หากไม่ได้รับการรักษา ในระยะยาวยังอาจส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นถาวรได้

  • ส่งผลเสียต่อบุคลิกภาพ

เนื่องจากอาการตาปรือ ทำให้ใบหน้าดูไม่สดชื่น อ่อนเพลีย และง่วงนอนตลอดเวลา ซึ่งทำให้บุคลิกภาพดูไม่ดี จนอาจเสียความมั่นใจ ไม่กล้ามองหน้าหรือสบตาผู้คน เนื่องจากจำเป็นจะต้องเชิดคาง หรือยกคิ้วขึ้น เพื่อที่จะทำให้มองเห็นได้ชัด ๆ และเมื่อทำบ่อย ๆ จะติดเป็นนิสัย และแก้ไขได้ยาก

  • เกิดอาการสายตาเอียง

ตาปรือ ตาง่วง อาจส่งผลให้รูปร่างของดวงตาเปลี่ยนไป เนื่องจากเปลือกตาตกลงมากดบริเวณกระจกตาดำ จนไม่โค้งเป็นทรงกลมเหมือนเดิม และอาจส่งผลให้เกิดภาวะตาเอียงได้

  • เกิดโรคตาขี้เกียจตามมา

ตาปรือ ตาง่วง ส่งผลให้การมองเห็นแย่ลง จนมองเห็นไม่ชัด ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลให้สมองไม่เรียนรู้ที่จะรับภาพอีกต่อไป และการมองเห็นจะค่อย ๆ แย่ลง จนถึงขั้นสูญเสียการมองเห็น ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดในเด็ก หากพบว่าเด็กมีอาการตาปรือ ตาง่วง จึงควรปรึกษาแพทย์และเข้ารับการรักษาอย่างจริงจัง

  • สำหรับเด็กอาจส่งผลกระทบต่อศีรษะและคอ

เนื่องจากอาการตาปรือ ตาง่วงที่เกิดในเด็ก จะส่งผลให้เด็กที่มีอาการดังกล่าวพยายามเอียงคอไปด้านหลัง เชิดคางขึ้น เพื่อพยายามให้ตัวเองมองเห็น ซึ่งเมื่อทำบ่อย ๆ จะส่งผลให้เกิดปัญหาบริเวณศีรษะและลำคอ มีการเกร็งกล้ามเนื้อ อีกทั้งยังทำให้พัฒนาการต่าง ๆ ช้าลงอีกด้วย

แก้ตาปรือ

แก้ตาปรือ ตาง่วงอย่างไร

ตาปรือ ตาง่วง สามารถแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดสามารถทำได้ 3 วิธี ดังนี้

  1. ผ่าตัดดึงกล้ามเนื้อเปลือกตาด้านใน (Mullerectomy)
    • สำหรับการผ่าตัดดึงกล้ามเนื้อเปลือกตาด้านใน นิยมทำในกรณีที่ยังสามารถเปิดตาเองได้ โดยจะใช้วิธีการผ่าตัดจากด้านในของเปลือกตา ซึ่งจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นให้เห็น นอกจากนี้ยังบวมช้ำเพียง 1 สัปดาห์ ผลข้างเคียงจะน้อย ชั้นตาที่ได้ก็จะเป็นธรรมชาติเหมือนกับก่อนที่จะเกิดอาการตาปรือ
  2. ผ่าตัดดึงกล้ามเนื้อเปลือกตาด้านนอก (Levator Surgery)
    • สำหรับการผ่าตัดดึงกล้ามเนื้อเปลือกตาด้านนอก นิยมทำในกรณีที่เกิดอาการตาปรือ ตาง่วง จนหนังตาตกลงมามาก แต่ยังมีแรงพอจะเปิดตาเองได้อีกเล็กน้อย โดยจะเป็นการผ่าตัดกรีดกล้ามเนื้อด้านนอกเปลือกตา เปิดจากหัวตายาวไปจนถึงหางตา เพื่อดึงกล้ามเนื้อตาให้ทำงานได้ปกติ ซึ่งจะใช้เวลาพักประมาณ 1 เดือนจึงจะหายเป็นปกติ
  3. ใช้กล้ามเนื้อหน้าผากดึงเปลือกตา (Frontails Sling)
    • สำหรับการใช้กล้ามเนื้อหน้าผากดึงเปลือกตา มักจะเลือกใช้ในกรณีที่ไม่เหลือแรงในการลืมตา ซึ่งส่วนใหญ่จะพบในกรณีที่มีอาการตาปรือ ตาง่วงตั้งแต่กำเนิด เป็นการนำเอ็นหุ้มกล้ามเนื้อส่วนต้นขามาดึงเปลือกตาขึ้น แทนที่จะใช้วัสดุสังเคราะห์ เพราะจะอยู่ได้นานและมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้น้อย อย่างไรก็ตาม ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ที่มีประสบการณ์ จะทำให้มีความปลอดภัยสูงสุด

การดูแลตัวเองก่อนและหลังเข้ารับการรักษา

การดูแลตัวเองก่อนการรักษา

  • งดรับประทานยาหรืออาหารเสริมที่ลดการแข็งตัวของเลือด รวมถึงสมุนไพรต่าง ๆ ล่วงหน้าเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์
  • กรณีต่อขนตา ควรถอดขนตาก่อนเข้ารับการผ่าตัด
  • หากเกิดอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ควรแจ้งแพทย์ทันที เพื่อให้แพทย์ประเมินก่อนผ่าตัด
  • แจ้งประวัติและการแพ้ยาต่าง ๆ รวมถึงข้อมูลต่าง ๆ ให้แพทย์ทราบอย่างครบถ้วน

การดูแลตัวเองหลังการรักษา

  • ไม่ควรให้แผลโดนน้ำ และควรทำให้แผลแห้ง อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพราะหากโดนน้ำอาจทำให้แผลอักเสบได้
  • ควรประคบเย็นตลอดเวลาในช่วง 72 ชั่วโมงแรก และหลังผ่านไป 3-5 วันจึงเปลี่ยนมาประคบร้อนจนกว่าจะตัดไหม
  • งดใช้สายตาช่วง 2-3 วันแรก โดยเฉพาะการขับรถ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
  • งดกินอาหารรสจัด และของแสลงต่าง ๆ รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นระยะเวลา 1 เดือน
  • งดใส่คอนแทคเลนส์หลังการผ่าตัด 3-4 สัปดาห์
  • ไม่ควรแกะ เกา หรือทำให้ดวงตาได้รับการกระทบกระเทือน
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง และปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากเกิดอาการผิดปกติใด ๆ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาในทันที
แก้ตาปรือ ตาง่วงที่ไหนดี

แก้ตาปรือ ตาง่วงที่ไหนดี

เนื่องจากดวงตาเป็นบริเวณที่บอบบางและมีความละเอียดอ่อน การเลือกโรงพยาบาลสำหรับแก้ตาปรือ ตาง่วง จึงควรมีการคำนึงถึงความพร้อมและความปลอดภัยในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ อุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ ตลอดจนห้องผ่าตัดและมาตรฐานของโรงพยาบาล ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะทำให้การผ่าตัดแก้ไขตาปรือ ตาง่วงผ่านไปได้ดี และทำให้ได้รับผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

แก้ตาปรือตาง่วงที่มาสเตอร์พีช

สำหรับใครที่ต้องการแก้ปัญหาตาปรือ ตาง่วง โรงพยาบาลมาสเตอร์พีชมีบริการศัลยกรรมตาที่หลากหลายรูปแบบ ด้วยแพทย์ที่มีประสบการณ์ เครื่องมือทางการแพทย์ที่ครบครัน และมาตรฐานโรงพยาบาล มั่นใจได้ว่าดวงตาของคุณจะกลับมาสวยงาม จบทุกปัญหาดวงตาที่โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ถ้าใครสนใจปรึกษาแพทย์เพื่อแก้ไขตาปรือ สามารถติดต่อได้ผ่านช่องทางต่อไปนี้ (แนบช่องทางการติดต่อ)

แชร์เลย:
register