ถุงยางอนามัย คืออะไร มีประโยชน์อะไรบ้าง
วันที่อัพเดตล่าสุด: 25 July 2024
ถุงยางอนามัย
ถุงยางอนามัย เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ระหว่างร่วมเพศป้องกันไม่ให้น้ำอสุจิเข้าไปในร่างกายของคู่นอน เพื่อลดโอกาสการตั้งครรภ์ หรือการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีทั้งสำหรับเพศหญิง และเพศชาย ส่วนใหญ่ฝ่ายชายจะเป็นฝ่ายใช้โดยสวมครอบอวัยวะเพศชายที่กำลังแข็งตัวในขณะร่วมเพศ
การใช้ถุงยางอนามัยสามารถลดโอกาสการติดโรคหนองในแท้, โรคหนองในเทียม, เชื้อทริโคโมแนส, เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี, โรคเอดส์ และซิฟิลิส ได้ แต่นอกจากจะต้องเลือกขนาดของถุงยางแล้ว ก็ยังมีถุงยางอนามัยให้เลือกหลากหลายประเภท วันนี้ตองจะพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับถุงยางอนามัยทั้ง 6 ประเภทที่มีขายอยู่ทั่วไปว่ามีคุณสมบัติอะไรบ้าง ดังนี้ค่ะ
- ถุงยางอนามัยแบบมาตรฐาน
เป็นถุงยางอนามัยแบบพื้นฐานที่ไม่ได้มีคุณสมบัติอะไรเป็นพิเศษ เหมาะสำหรับคนทั่วไป เพียงแค่เลือกขนาดให้เหมาะกับขนาดของน้องชาย ซึ่งถุงยางอนามัยประเภทนี้จะแพร่หลาย หาซื้อง่าย และมีราคาถูกที่สุด เมื่อเทียบกับถุงยางอนามัยที่มีคุณสมบัติพิเศษอื่น ๆ
- ถุงยางอนามัยแบบบาง
เป็นถุงยางอนามัยที่มีความบางพิเศษมากกว่าถุงยางอนามัยทั่วไป (0.06 ม.ม.) แต่ไม่บางจนเกินไป ซิ่งจะบางลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความรู้สึกสัมผัสที่ใกล้ชิด คล้ายกับไม่ได้สวมถุงยางอนามัย
- ถุงยางอนามัยแบบผิวไม่เรียบ
ถุงยางอนามัยแบบผิวไม่เรียบมีหลากหลายแบบ ทั้งแบบปุ่ม แบบขีด หรือแบบผสม ซึ่งผิวด้านนอกของถุงยางอนามัยจะมีปุ่ม หรือขีดนูนขึ้นมา ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากถุงยางอนามัยทั่วไปที่มีผิวเรียบปกติ และไม่เพียงแค่ทางช่องคลอดเท่านั้น เพราะถุงยางแบบผิวขรุขระยังกระตุ้นความรู้สึกเป็นอย่างมากเมื่อใช้กับทวารหนัก
- ถุงยางอนามัยแบบมีกลิ่นหรือรส
ถุงยางอนามัยประเภทแต่งกลิ่น หรือรส เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบการทำออรัลเซ็กส์แล้วไม่ค่อยชอบกลิ่นของถุงยาง ก็สามารถเลือกใช้ถุงยางอนามัยประเภทนี้เพื่อแก้ไขปัญหาได้ เพราะกลิ่นหอมจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และเพลิดเพลิน นอกจากนี้ถุงยางอนามัยมีกลิ่นยังช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในช่วงกิจกรรมของคุณได้อีกด้วย
- ถุงยางอนามัยผสมสารหล่อลื่น
ในปัจจุบันหลายรุ่นก็มักจะมีการผสมสารหล่อลื่นมาบ้างอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีแบบที่ผสมสารหล่อลื่นมาให้มากเป็นพิเศษอีกเช่นกัน ทำให้ไม่ต้องซื้อเจลหล่อลื่นมาใช้เพิ่ม หรืออาจช่วยให้ต้องใช้เจลหล่อลื่นน้อยลงกว่าเดิม วัตถุประสงค์ของสารหล่อลื่น คือทำให้ถุงยางมีความลื่น และง่ายต่อการใช้ อีกทั้งป้องกันไม่ให้ถุงยางฉีกขาดอีกด้วย
- ถุงยางอนามัยช่วยชะลอการหลั่ง
มีคุณสมบัติทำให้ช่วยยืดระยะเวลาให้นานขึ้น สามารถช่วยชะลอการหลั่งได้โดยตรงไม่เป็นอันตราย และไม่ทิ้งสารตกค้าง เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหลั่งเร็วที่ทำให้ผู้หญิงไม่ถึงจุดสุดยอด หมดปัญหาล่มปากอ่าว ให้คุณได้มีความสุขได้ยาวนานยิ่งขึ้น
ไซส์ถุงยางอนามัยมีขนาดเท่าไหนบ้าง
ถุงยางอนามัยที่ทำมาจากยางธรรมชาติมีอยู่ 13 ขนาดด้วยกัน คือตั้งแต่ 44 – 56 มิลลิเมตร โดยวัดจากความกว้างของถุงยางที่คลี่แบนราบกับพื้น แต่โดยทั่วไปในประเทศไทยจะมีจำหน่ายขนาด 49, 51, 52, 53, 54 และ 56 มิลลิเมตร เนื่องจากขนาดอวัยวะเพศของชายเอเชีย มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ช่วง 49 – 56 มิลลิเมตร และค่าเฉลี่ยขนาดอวัยวะเพศของชายไทยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 49 และ 52 มิลลิเมตร เป็นหลัก ทำให้ตลาดถุงยางอนามัยในประเทศไทยจะมีถุงยางอนามัยขนาด 49 และ 52 มิลลิเมตร จำหน่ายมากที่สุด และมีรูปแบบให้เลือกมากที่สุดนั่นเอง
วิธีวัดไซส์ถุงยาง
การวัดขนาดให้เหมาะกับถุงยางอนามัยควรวัดจากเส้นรอบวงองคชาตที่แข็งตัวเต็มที่ ไม่ใช่ความยาว เพราะถุงยางอนามัยเกือบทุกยี่ห้อ จะทำความยาวมาเท่า ๆ กัน คือประมาณ 6 – 7 นิ้วเท่านั้น สามารถใช้สายวัดตัวทั่วไป หรือสายวัดขนาดอวัยวะเพศมาตรฐาน จากกระทรวงสาธารณะสุขในการวัดขนาดของอวัยวะเพศได้เลย
การเลือกขนาดถุงยางอนามัย ควรเลือกให้พอดี ไม่หลวม หรือคับแน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้ฉีกขาดง่าย หรือหลุดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ได้ ซึ่งขนาดของถุงยางจะแตกต่างกันไปตามแต่ละยี่ห้อ และจะบอกเส้นรอบวงเป็นมิลลิเมตร ได้ดังนี้
- ถุงยางอนามัย ขนาด 49 มิลลิเมตร (เท่ากับ เส้นรอบวงองคชาต 11 – 12 เซนติเมตร หรือ ประมาณ 5 นิ้ว)
- ถุงยางอนามัยขนาด 52 มิลลิเมตร (เท่ากับ เส้นรอบวงองคชาต 12 – 13 เซนติเมตร หรือ ประมาณ 5 นิ้ว)
- ถุงยางอนามัย ขนาด 54 มิลลิเมตร (เท่ากับ เส้นรอบวงองคชาต 13 – 14 เซนติเมตร หรือ ประมาณ 5 นิ้ว)
- ถุงยางอนามัยขนาด 56 มิลลิเมตร (เท่ากับ เส้นรอบวงองคชาต 14 – 15 เซนติเมตร หรือ ประมาณ 6 นิ้วขึ้นไป)
ข้อควรรู้เกี่ยวกับถุงยางอนามัย
- ถุงยางอนามัยมีอายุการใช้งานอยู่ได้ไม่เกิน 5 ปี ก่อนใช้ควรตรวจดูวันหมดอายุของถุงยางอนามัยอยู่เสมอ เนื่องจากสารหล่อลื่นที่อยู่ในซองถุงยางอนามัยนั้นอาจเสื่อมสภาพ เมื่อนำมาใช้อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ โดยเดือน ปี ที่หมดอายุสามารถดูได้ที่บนกล่อง หรือซองบรรจุภัณฑ์
- ควรสวมถุงยางอนามัยขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเท่านั้น โดยก่อนใส่ให้บีบไล่อากาศปลายถุงออกก่อน เพราะอากาศที่อยู่บริเวณปลายถุงยางอาจจะทำให้ถุงยางอนามัยแตก หรือฉีกขาดได้ง่าย
- เมื่อเสร็จกิจแล้วให้ถอดถุงยางอนามัยออกขณะที่อวัยวะเพศยังแข็งตัวอยู่ ควรถอดถุงยางอนามัยออกด้วยความระมัดระวัง ไม่สามารถนำมาใช้ต่อซ้ำได้ เนื่องจากถุงยางอนามัยถูกออกแบบมาให้ใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
- เมื่อฉีกถุงยางอนามัยออกมาจากซองแล้ว ให้หันด้านที่มีกระเปาะตรงส่วนหัวออกด้านนอก และสวมลงบนอวัยวะเพศที่แข็งตัวอยู่ ถ้าสวมถูกด้านจะสามารถรูดถุงยางอนามัยลงได้ง่าย
- การสวมถุงยางอนามัย 2 ชั้น นอกจากไม่สามารถป้องกันการต้องครรภ์ หรือโรคติดต่อทางเพศสัมธ์ได้แลัว ยังทำให้ถุงยางอนามัยแตกง่ายขึ้นอีกด้วย
- ไม่ควรเก็บถุงยางอนามัยไว้ในกระเป๋าสตางค์ เพราะอาจเกิดการเสียดสีทำให้ถุงยางเกิดการเสื่อมสภาพได้เร็ว หรือฉีกขาดได้
น้องชายเล็กทำอย่างไรได้บ้าง
การเพิ่มขนาดอวัยวะเพศชายในปัจจุบันมีหลายวิธี เช่น การฉีดฟิลเลอร์ การฉีดไขมัน การผ่าตัดเสริมด้วยเนื้อเยื่อ หรือไขมันของคนไข้เอง การผ่าตัดเสริมด้วยวัสดุสังเคราะห์ และซิลิโคน การผ่าตัดยืดขนาด ช่วยให้ความยาวเพิ่มมากขึ้นประมาณ 1 – 2 เซนติเมตรอวัยวะเพศจะยังแข็งตัวได้ตามปกติเหมือนเดิมเพียงแต่ไม่สูงเท่าเดิม ทั้งนี้ผลการรักษาจะให้ผลที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่นของผิว โดยแพทย์จะประเมินถึงความเหมาะสมกับขนาดปลายอวัยวะเพศให้สมดุลเพื่อความสวยงาม